เมื่อพูดถึงนักร้องวงร็อก หลายๆคนมักนึกถึงภาพซุปเปอร์สตาร์ ที่เกรี้ยวกราด มีอารมณ์ศิลปินสูง คนรอบข้างเอาใจแทบไม่ถูก แต่ ตูน Bodyslam ต่างออกไป เค้าเป็นคนเงียบๆ อ่อนน้อมถ่อมตน แทบไม่เคยทำให้ใครเดือดร้อนใจ
แต่ถึงอย่างงั้น เมื่ออยู่บนเวที ตูนเหมือนแปลงร่างได้ เหมือนซุปเปอร์แมน จากคนเงียบๆ ที่ถ้าคนที่ไม่รู้จักเค้า จะไม่คิดว่าเป็น
นักร้องนำวงร็อกที่มีแฟนเพลงทั่วประเทศ กลายเป็นนักร้องนำที่บ้าระห่ำอยู่บนเวที แม้กระทั้งนั่งร้าน เสาเหล็กสูงๆ ที่แค่มองก็เสียวแทน ตูน Bodyslam ก็ปีนมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน บวกกับบทเพลงที่ขับร้องปลุกเร้าไฟในใจคนดูทุกคนได้
หลายๆคนคงแทบไม่เชื่อว่า 2 คนนี้คือคนๆเดียวกัน
ประวัติของ ตูน บอดี้แสลม หรือ อาทิวราห์ คงมาลัย
ตูน บอดี้แสลม หรือ อาทิวราห์ คงมาลัย เด็กหนุ่มจากสุพรรณบุรี เกิดวันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2522 ในระดับมัธยมเรียนที่ โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ต้องนั่งรถไปกลับ กรุงเทพ-สุพรรณบุรีทุกวัน
จุดเริ่มต้นในวงการดนตรีครั้งแรก คือวงละอ่อน ที่มีสมาชิกเป็นเพื่อนๆจากโรงเรียนสวนกุหลาบเหมือนกัน ซึ่งสมาชิกในวงละอ่อนที่ต่อมาคือสมาชิกของ Bodyslam ในปัจจุบัน คือ ปิ๊ด ธนดล ช้างเสวก มือเบส และ เภา รัฐพล พรรณเชษฐ์ มือกีตาร์ สมาชิกผู้ร่วมก่อตั้ง Bodyslam แต่แยกตัวออกมาหลังจาก Drive อัลบั้มที่ 2 ของวง
วงละอ่อนเข้าประกวด ฮอตเวฟมิวสิกอวอร์ดส์ ที่จัดขึ้นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2539 และได้รางวัลชนะเลิศ จนทำให้วงได้เซ็นต์สัญญาเป็นศิลปินกับมิวสิคบั๊ก ได้ออกอัลบั้มครั้งแรกในชื่อละอ่อน ปี 2540 มีเพลงที่ได้รับรับความนิยมคือ “ได้หรือเปล่า” และ “นิดนึงพอ” และอัลบั้มที่ 2 เทพนิยายนายเสนาะ ในปี พ.ศ. 2541
จากนั้นต่างคนต่างแยกย้ายไปเรียนต่อ ตูน ไปเรียนต่อที่ คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หลังจากจบการศึกษาด้วยเกียรนิยมอันดับหนึ่ง แต่ด้วยความรักในเสียงเพลง และต้องการเป็นนักดนตรีออกอัลบั้ม ตูนจึงตัดสินใจไปสมัครเป็นลูกเรือของสายการบินกัมพูชาแอร์และทำงานที่นั้นประมาณ 2 ปี เพื่อเก็บเงินสำหรับมาทำเพลงตามความฝัน
Bodyslam
วงบอดี้แสลม มีชื่อวงมาจากท่ามวยปล้ำ ที่จับคู่ต่อสู้ยกขึ้นและทุ่มไปที่พื้นแรงๆ เปรียบเหมือนความตั้งใจของตูน และวง Bodyslam ที่ทุ่มสุดตัวให้กับผลงานให้ออกมาดีที่สุด
ตูนได้เริ่มทำเพลงออกครั้งและชักชวนสมาชิกเก่าจากวงละอ่อน คือ ปี๊ด และเภา มาร่วมวง Bodyslam
ด้วยเงินที่ได้จากการเป็นลูกเรือสายการบิน ในที่สุด Bodyslam ก็ได้ออกอัลบั้มกับค่าย Music Bug และออกมา 2 อัลบั้มคือ Bodyslam และ Drive
ที่นี่ทำให้ Bodyslam ได้พบกับวง Big Ass วงร็อกชื่อดัง ซึ่งมีความผูกพันกับ บอดี้แสลม อย่างมาก
ตูน ไปทัวร์กับวง Big Ass บ่อยๆ หลายครั้งเป็นเพื่อร้องท่อนแร๊ปท่อนเดียว
โดยเฉพาะกับ กบ ขจรเดช พรมรักษา มือกลอง และอ็อฟ พูนศักดิ์ จตุระบุล มือกีตาร์ ของ Big Ass ที่เป็นโปวดิวเชอร์ให้กับ Bodyslam ตั้งแต่อัลบั้ม Believe และชักชวนมาอยู่กับค่าย Genie records มาจนถึงปัจจุบัน ทั้ง 2 วงกลายเป็นวงพี่กับน้อง มีคอนเสิร์ตร่วมกัน Big Body Concert ในปี 2548
Bodyslam มีอัลมบั้มออกมาทั้งหมด 7 อัลบั้ม
- อัลบั้ม บอดี้สแลม (2545)
- อัลบั้ม ไดรฟ์ (2546)
- อัลบั้ม บีลีฟ (2548)
- อัลบั้ม เซฟมายไลฟ์ (2550)
- อัลบั้ม คราม (2553)
- อัลบั้ม ดัม-มะ-ชา-ติ (2557)
- อัลบั้ม วิชาตัวเบา (2562)
วง Bodyslam ประสบความสำเร็จอย่างมาก มีคอนเสิร์ตใหญ่หลายๆครั้ง แต่ละครั้งคนมาดูเต็มทุกที่นั่ง โดยเฉพาะคอนเสิร์ตใหญ่ Live in คราม ปี 2553 และ Bodyslam fest วิชาตัวเบา 2562 ที่จัดที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน สนามกีฬาที่จุคนได้เยอะที่สุดในประเทศ แต่ละรอบจุคนดูได้ 1 แสนคน บัตรขายหมดเกลี้ยงทุกรอบ แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จของวง Bodyslam ที่มีตูนเป็นผู้นำ
คอนเสิร์ต BODYSLAM LIVE IN คราม @Genierockเนื้อหาเพลงของ Bodyslam ช่วงแรกๆจะเป็นเพลงรักหรือเพลงอกหัก แต่ต่อมามีเพลงที่มีแง่คิดเกี่ยวกับการใช้ชีวิตมากขึ้น เกี่ยวกับความฝันและความสุขสูงสุขของคน ซึ่งอาจจะเข้ากับชีวิตของ ตูน บอดี้แสลม ที่ไม่หยุดแค่เพียงเป็นร็อกสตาร์ของวงอันกับหนึ่งของประเทศ
แต่ยังคงมุ่งมั่นทุ่มสุดตัวกับทุกสิ่งที่เค้าทำ เช่น การเป็นนักกีฬาปิงปอง ก็ได้เข้าร่วมในรายการแข่งขันชิงแชมป์ประเทศไทยปี 2554 & 2555 และเป็นตัวแทนจังหวัดสุพรรณบุรี เข้าแข่งขันกีฬาแห่ชาติ ครั้งที่ 42 ที่จังหวัดสุพรรณบุรีบ้านเกิด
นอกจากปิงปอง ตูน bodyslam ชอบวิ่งอย่างจริงจัง เข้าร่วมการวิ่งมาราธอนหลายครั้ง จนเป็นที่มาของโครงการ “ก้าวคนละก้าว” การวิ่งที่มีเป้าหมายระดมเงินทุนให้กับโรงพยาบาล ที่ขาดแขลนในประเทศไทย และบันดาลใจให้กับคนไทยทั้งประเทศ
ก้าวคนละก้าว ก้าวเล็กๆจากคนๆหนึ่งทำให้เกิดความสามัคคีของคนไทยอย่างไม่เคยมีมา
จุดเริ่มต้นเกิดจาก ตูน ซื้อบ้านให้คุณแม่ที่อำเภอบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จนรู้สึกสนิทสนมกับชาวบ้านที่นั้น จากนั้นได้รู้จัก ผอ.โรงพยาบาลบางสะพานก็ได้พูดคุยกันถึงปัญหาการขาดแคลนอุปกรณ์รักษาคนไข้ จนเป็นที่มาของโครงการก้าวคนละก้าว
ตูน ออกวิ่งเพื่อเชิญชวนให้คนมาบริจาค วันที่ 1 -10 ธันวาคม 2559 เริ่มจากกรุงเทพ ถึง อ.บางสะพาน เป็นระยะทาง 400 กิโล ฟังแล้วเหมือนเป็นไปไม่ได้ แต่ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้สำหรับผู้ชายชื่อตูน บอดี้ แสลม หากเค้าตั้งใจทำมัน
ในการวิ่งตูนและทีมงานแบ่งการวิ่งวันละ 2 เซ็ตๆ ละ 10 กิโล รวม 20 กิโลต่อวัน และออกวิ่งตอนเช้าเพื่อหลบแดด เพื่อไม่ให้เหนื่อยจากเสียเหงื่อเกินไป
การวิ่งจากกรุงเทพ-อ.บางสะพาน ใช้เวลาไป 10 วัน ได้เงินประจาครวม 63 ล้านบาท
“ผมอยากได้เงิน 10 บาท จากทุกคน… 10 บาท ที่ทุกคนคิดว่ามันจะไปช่วยชีวิตใครได้ ลองเอามากองรวมกัน… มันช่วยได้เป็นพันเป็นหมื่นชีวิตเลย”
ตูน บอดี้เเสลม
หลังจากที่การวิ่งที่บางสะพาน อีก 1 ปีต่อมา ตูนวางแผนออกวิ่งอีกครั้งเพื่อระดมเงินบริจาคแก่โรงพยาบาลทั่วประเทศ แต่ครั้งนี้ระยะทางไกลกว่าเดิมถึง 5.5 เท่า โดยเริ่มจากสุดแดนใต้ของประเทศไทยที่ อ.เบตง จ.ยะลา และไปจบที่เหนือสุดของประเทศคือ อ.แม่สาย จ.เชียงราย รวมระยะทาง 2191 กิโลเมตร ที่ทั้งเสี่ยงเพราะหากผิดพลาดนั้นคืออันตรายถึงชีวิต แต่นั้นก็ไม่สามารถหยุดความตั้งใจของตูนได้เลย
ตูนออกวิ่งในวันที่ 1 พ.ย. และไปถึงที่หมายที่ 25 ธันวาคม รวมเวลา 55 วัน ที่ตูน อยู่บนถนนตลอดเพื่อวิ่งระดมเงินประจาคให้กับ 11 โรงพยาบาลที่คาดแคลน ระหว่างวิ่งตูนมีปัญหาบาดเจ็บมาตลอด ส่วนใหญ่เกิดจากการที่วิ่งๆหยุดๆ เพราะตลอดทางมีประชาชนออกมาบริจาคและให้กำลังใจไม่ขาดสาย ตูนบอกว่าไม่รู้สึกรำคาญประชาชนเลย เพราะ “สำหรับบางคนอาจจะเป็นโอกาสครั้งเดียวในชีวิตที่ได้เจอเค้า”
เมื่อจบการวิ่งโครงการก้าวคนละก้าว ได้ยอดบริจาคถึง 1,142 ล้านบาท นอกจากเงินที่ได้ไปช่วยเหลือโรงพยาบาลซื้อเครื่องมือทางการแพทย์แล้ว ยังเกิดปรากฏการณ์ความสามัคคีของคนไทยอย่างไม่เคยมีมา ทุกๆคนร่วมกันบริจาคตามกำลังทรัพย์และร่วมส่งแรงใจให้ตูนวิ่งจนสำเร็จ
และมากไปกว่านั้นการวิ่งของตูน ได้จุดประกายให้ผู้คนได้ออกมาออกกำลังกาย ออกมาวิ่งและดูแลสุขภาพมากขึ้น งานวิ่งเกิดขึ้นมากมายเป็นกระแสอย่างไม่เคยมีมาทั้งหมดนี้ เกิดขึ้นจากผู้ชายคนเดียวที่ชื่อ ตูน บอดี้แสลม หรือ อาทิวราห์ คงมาลัย
หากพูดถึงการร้องเพลง ตูนอาจจะไม่ได้เป็นนักร้องพรสวรรค์สูงเหมือนนักร้องคนอื่นๆ
แต่สิ่งที่ตูน บอดี้แสลม มี คือความพยายามอันแรงกล้า ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค์ เหมือนที่สื่อออกมาผ่านบทเพลงความเชื่อ “มันจะไปจบที่ตรงไหนแต่อย่างไรก็ต้องไปให้ถึง…..” ซึ่งไม่ใช่พรสวรรค์แต่เกิดขึ้นจากความตั้งใจล้วนๆ
ตูนไม่เคยออกมาพูดโอ้อวดหรืออกมาต่อว่าใครผ่านสื่อ แต่เลือกที่จะทำมากกว่าพูด และทำในสิ่งที่ตัวเองทำได้ แม้เริ่มต้นอาจจะไม่มีใครเห็นด้วยแต่เวลาได้พิสูจน์แล้วว่าการลงมือทำสำคัญกว่า เพราะต่อให้คุณเก่งแค่ไหนแต่ไม่เคยลงมือทำอะไรเลยก็เปล่าประโยชน์
อย่างที่เราได้เห็นกับการออกวิ่งในโครงการก้าวคนละก้าวของตูนั้นเอง….
อ้างอิง: wikipedia, daradaily, ceoblog.co
สำหรับคุณเเล้ว ตูน บอดี้เเสลม สร้างเเรงบันดาลใจให้อย่างไร?
บอกให้เราเเละเพื่อนๆรู้ในคอมเม้นต์เลยครับ
หากชอบบทความเเบบนี้ share ให้เพื่อนๆเห็น เเละเพื่อเป็นกำลังใจให้เราด้วยนะครับ