Jason Mraz ศิลปินสาย “Feel Good” ที่เคยหนีชีวิตไปทำฟาร์มอะโวคาโด

ในวาระที่ เจสัน มราซ เพิ่งกลับมาแสดงคอนเสิร์ตที่ประเทศไทยอีกครั้ง เราเลยอาพาพาไปทำความรู้จักกับ มือกีตาร์สายชิลด์แห่งยุคที่สร้างสรรค์บทเพลงไพเราะไว้ในวงการเพลงโลกมากมายอย่าง เจสัน มราซ (Jason Mraz)

 

ประวัติส่วนตัว เจสัน มราซ

เจสัน มีชื่อเต็มว่า เจสัน โทมัส มราซ (Jason Thomas Mraz) เขาเป็นชาวสหรัฐฯ เกิดที่เมคานิกส์วิลล์ รัฐเวอร์จิเนีย มีฐานะครอบครัวปานกลาง พ่อชื่อ ทอม แม่ชื่อ จูน พี่สาวชื่อ แคนเดซ ครอบครัวเขามีเชื้อสายชาวเช็ก ในวัยเด็กพ่อกับแม่เขาแยกทางกัน

ในส่วนของการเรียน เจสันเรียน เรียนมัธยมที่โรงเรียนลีเดวิดไฮท์ ทำกิจกรรมหลายอย่างทั้งเข้าชมรมคณะประสานเสียง เล่นคณะละครเวทีของโรงเรียน และเป็นเชียร์ลีดเดอร์ชาย ด้วยพรสวรรค์ด้านการร้องเพลง เจสัน ในวัย 13 ปีได้อยู่ในวงอาร์แอนด์บีท้องถิ่นชื่อ เดรสทูคิล ที่มีสมาชิกคนอื่นอยู่ในวัย 20 ปีขึ้นไป

หลังเริ่มรู้ตัวว่าชอบร้องเพลงและเล่นกีตาร์ เมื่อเข้าเรียนที่ Musical Theatre ของ American Musical and Dramatic Academy ในเมืองนิวยอร์ค ไม่นาน เขาก็ตัดสินใจดร็อปเรียน และเดินทางกลับสู่บ้านเกิดในเมคานิกส์วิลล์ เพื่อเตรียมตัวเริ่มต้นอาชีพนักดนตรี

 

เส้นทางสายดนตรีของ เจสัน มราซ

 

เจสัน มราซ ขับรถร่อนเร่จากบ้านเกิดไปจนถึงเมืองซานดิเอโก้สุดเขตด้านตะวันตกใต้ของอเมริกา ก่อนจะเริ่มต้นอาชีพการเป็นนักร้องนักแต่งเพลง ด้วยการร้องเพลงใน Java Joe’s ผับชื่อดังของเมือง หลายคนอาจไม่รู้ว่าเขาเริ่มต้นด้วยการเป็นมือกลอง ก่อนจะขยับมาเล่นกีตาร์ และร้องนำ จากโชว์เล็กที่มีคนดูไม่กี่คน ไม่กี่เดือนก็มีผู้ชมจำนวนมากมารอชมการแสดงของ เจสัน

ต่อมาเขาได้พบกับ โทค่า นักร้องและมือเพอร์คัสชั่น พร้อมร่วมวงกันแสดงที่ Java Joe’s จนโด่งดังขึ้นเรื่อยๆ ผับในเมืองใกล้เคียง รวมถึงผับในลอสแอนเจลิสเริ่มชวนเขาไปแสดงบ่อยๆ ขณะเดียวกันทั้งคู่ก็ซุ่มทำอัลบั้มที่ชื่อ Live At Java Joe’s ออกวางขาย โดยมีเพลง You And I Both, 1000 Things ได้รับการเปิดออกอากาศในสถานีวิทยุท้องถิ่น จนไปเข้าหูแมวของของค่าย Elektra Records เจสัน จึงได้เซ็นสัญญาเป็นศิลปินแนวป็อปอัลเทอร์เนทีฟในปี 2002 พร้อมออกอัลบั้มทันทีในปีเดียวกัน

Waiting For My Rocket To Come อัลบั้มเดี่ยวแรกในชีวิตของ เจสัน มราซ ซึ่งมี The Remedy (I Won’t Worry) เป็นซิงเกิลแรก โดยเพลงนี้สามารถไต่ได้ถึงอันดับ 15 ใน Billboard Hot 100 Chart ได้รับรางวัลแพลทินัมจากสมาคมแผ่นเสียงแห่งอเมริกา หรือ RIAA ในฐานะที่มียอดจำหน่ายอัลบั้มมากกว่า 1 ล้านก๊อปปี้ในอเมริกา อัลบั้มนี้ได้รับเสียงชื่นชมว่า ผสมผสานแนวดนตรี โฟล์ก ป๊อป ร็อก ฮิปฮอป ออกมาได้อย่างกลมกล่อม ลงตัว และแปลงกใหม่มากๆ

ปี 2005 กับผลงานชุดที่สอง MR.A–Z เจสัน ย้ายมาสังกัดค่าย  Atlantic Records มีเพลง Wordplay เป็นซิงเกิลแรก อัลบั้มนี้ยังคงประสบความสำเร็จ เข้าชาร์ทอัลบั้ม Billboard 200 ที่อันดับ 5 รวมถึงได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลแกรมมี สาขา Best Engineered Album, Non-Classical, ส่วนโปรดิวเซอร์ที่ชื่อ สตีฟ ลิลลีไวต์ ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงสาขา Producer of the Year

 เพลง I’m Yours https://www.youtube.com/watch?v=EkHTsc9PU2A

 

หลังจากใช้เวลาช่วงพักไป ศึกษาหลักพุทธศาสนาและเซน เจสัน มราซ ก็ผลิตผลงานมาสเตอร์พีซของตัวเองอย่างอัลบั้ม We Sing. We Dance. We Steal Things. ออกมาในปี 2008 โดยซิงเกิลแรกอย่าง I’m Yours ได้รับความนิยมระดับโลก พร้อมถล่มทุกชาร์ตเพลงในสหรัฐอเมริกายาวนาน ถึง 76 สัปดาห์ คือราว 19 เดือน เพลง I’m Yours ขึ้นสูงสุดที่อันดับ 3 ใน Billboard Hot 100 จำหน่ายได้กว่า 3 ล้านก๊อปปี้ในอเมริกา และกว่า 5 ล้านก๊อปปี้ทั่วโลก ตัวอัลบั้มได้รับรางวัลแพลทินัมจากยอดขายเกินกว่า 1 ล้านแผ่นในสหรัฐฯ และคว้ารางวัล Song Of The Year จากเพลง I’m Yours, Best Male Pop Vocal Performance จากเพลง I’m Yours และ Best Engineered Album,Non-classical

สำหรับอัลบั้มที่ 4 ในปปี 2012 อย่าง Love Is A Four Letter Word มีเพลงฮิตระเบิดที่ชื่อ I WON’T GIVE UP แน่นอนว่าเพลงนี้ขึ้น Billboard เช่นเคย ต่อมาปี 2014 เขาปล่อยอัลบั้มชุดที่ 5 ในชื่อ Yes! มีเพลงดังอย่าง Love Someone , It’s So Hard to Say Goodbye to Yesterday และ Hello, You Beautiful Thing โดยนับเป็นอัลบัมชุดที่ 5 ที่ขึ้นท็อป 10 ใน Billboard 200 ติดต่อกัน

 เพลง I WON’T GIVE UP
 

นอกจากงานเพลงของตัวเอง เจสัน ยังเป็นหนึ่งทีมงานเบื้องหลังให้กับศิลปินชั้นแนวหน้าอย่าง Coldplay และ The Rolling Stones รวมถึงแบ่งเวลาไปเคลื่อนไหวเพื่อสังคม สิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อม ทั้งการเป็นแนวร่วมสำคัญในการเรียกร้องการปลดปล่อยทาสที่กาน่า และเคยเปิดคอนเสิร์ตเรียกร้องสิทธิมนุษย์ชนให้แก่ชาวเมียนมาร์ในปี 2012 มาแล้ว

แต่หลังประสบความสำเร็จอย่างล้มหลามในการเป็นนักร้องและมือกีตาร์ ผ่านการทัวร์คอนเสิร์ตรอบโลกมาหลายครั้ง เจสัน ก็หายหน้าจากวงการบินเทิงไปถึง 4 ปี บางคนบอกว่าเขาอยากเลิกอาชีพนักดนตรี หลายคนบอกว่า เขาต้องการแรงบันดาลใหม่ๆ

ทั้งนี้ เจสัน หนีแสงสีไปทำฟาร์มอโวคาโดที่เมืองซานดิเอโก ในรัฐแคลิฟอร์เนีย ถิ่นเก่าที่เขาเคยเริ่มต้นชีวิตนักดนตรี ทว่าครั้งนี้เขาผันตัวไปเป็นชาวไร่ โดยเปิดตัวฟาร์มอโวคาโดอย่างเป็นทางการในปี 2015 ใช้ชื่อฟาร์มว่า Mraz Family Farms เป็นฟาร์มออร์แกนิกที่ได้มาตรฐานการรับรองจากทางการ และใช้ชีวิตเรียบง่าย ทานมังสวิรัติ ถ่ายรูป เล่นเซิร์ฟ เล่นโยคะท่ามกลางธรรมชาติกับ คริสตีนา คาราโน แฟนของเขา

 
 

ล่าสุด เมื่อปี 2018 ที่ผ่านมา เจสัน มราซ หนุ่มโรแมนติก เจ้าของเสียงที่แสนอบอุ่น พร้อมหมวกปีกกว้างและกีตาร์คู่ใจ กลับมาปล่อยอัลบั้มที่ 6 ในชีวิตให้หลายคนหายคิดถึง หลังได้เรียนรู้ชีวิตและอยู่กับตัวเอง

เจสัน ใช้ชื่ออัลบั้มใหม่ของเขาว่า Know ซิงเกิลแรกมีชื่อว่า Have It All ส่วนเพลงที่ได้รับความนิยมอย่าง More Than Friends ซึ่งฟีเจอร์ริ่งกับ เมแกน เทรนเนอร์ นักร้องสาวเจ้าของผลงาน All About That Bass ส่งให้อัลบั้มที่ 6 ของ เจสัน ยังมีกระแสดีบน Billboard ชาร์ท ก่อนที่เจ้าตัวจะออกแสดงคอนเสิร์ตไปทั่วโลกอีกครั้ง เพื่อพบปะเพลงเพลงที่รอคอยกันมานานหลายปี

 

กีตาร์ของ เจสัน มราซ

 

เจสัน มราซ มือกีตาร์ที่เก่งกาจคนหนึ่งของโลก สร้างภาพจำด้วยการปรากฏตัวพร้อมกีตาร์โปร่งแทบจะตลอดเวลา โดยรุ่นที่เขาใช้คือ กีตาร์รุ่นลานเซนต์ของเค้าเองกับ Taylor 612ce Maple/Spruce , Taylor NS52ce Mahogany และ Taylor NS72ce ซึ่งใช้ในแทบจะทุกการแสดงโชว์ของเขา

ส่วนกีตาร์ไฟฟ้ามีตัวเด็ดๆ สวยๆ อย่าง Fender 62 Jaguar Reissue Electric Guitar , Yamaha SLG100S Silent Steel String Guitar และ Yamaha Pacifica PAC1511MS Electric Guitar เป็นต้น แน่นอนว่าแต่ละตัว ราคาแพงและหายากมากๆ

/////////////////

 

หากใครชอบบทความเเบบนี้ Share ให้เพื่อนๆได้เห็นด้วยนะครับ เเละเป็นกำลังใจให้เราทำบทความใหม่ๆออกมาอีกนะครับ 🙂

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Scroll to Top